วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

บทที่ 7 บทส่งท้าย

พระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ ธรรมล้ำลึกการบังเกิด การดำเนินชีวิต การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์คือบ่อเกิดของหลักความเชื่อ วิถีชีวิตของชาวคริสต์ ธรรมล้ำลึกนี้ได้รับการถ่ายทอดมาโดยผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระเยซูเจ้ารุ่นแรก ๆ และสืบเนื่องสู่ปัจจุบันที่ศาสนาคริสต์ได้แผ่ขยายไปทั่วโลก สิ่งที่ชาวคริสต์ตั้งแต่ยุคแรก ๆ ยึดถือเป็นหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ คือ การเชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์ ทรงร่วมธรรมชาติเดียวกับมนุษย์ เพื่อเป็นหมายสำคัญว่า พระเจ้าทรงริเริ่มและสานต่อแผนการแห่งความรอด ที่จะช่วยมนุษยชาติให้บรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์ ๆ ทรงเป็นสื่อกลางเพียงพระองค์เดียวที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ทรงเผยแสดงให้มนุษย์ทราบว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ที่เป็นบ่อเกิดและเป้าหมายปลายทางของสรรพสิ่ง พระเยซูเจ้าทรงก่อตั้ง “กลุ่มชนของพระองค์” ซึ่งพัฒนาเป็น “พระศาสนจักร” เพื่อเป็นเครื่องมือประกาศข่าวดีแห่งความรอดและพระองค์ประทานพระพรและประทับอยู่กับพระศาสนจักรที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นทางองค์พระจิตเจ้า ทรงประทานเครื่องหมายและเครื่องมือแห่งการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าในพระศาสนจักรของพระองค์ทางพิธี (ศีล) ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เพื่อประทานพระพรแก่ประชากรของพระองค์
คริสตชนเชื่อว่าพระเจ้าประทับอยู่กับพระศาสนจักรทางองค์พระจิตเจ้า และเป็นพระจิตนี่เองที่ทรงนำพระศาสนจักรไปสู่จุดหมาย คือ การบรรลุถึงอาณาจักรของพระเจ้า (การบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า) ในวาระสุดท้ายของโลก (การเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้า) แม้ว่าในขณะเดินทางมุ่งหน้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า ประวัติศาสตร์พระศาสนจักรอาจมีทั้งส่วนที่น่าชื่นชมและหดหู่ แต่พระเจ้ายังคงประทับอยู่กับประชากรของพระองค์เสมอ พระองค์มีพระประสงค์ให้ประชากรของพระองค์ค่อย ๆ รับรู้ถึงแผนการความรอดที่พระองค์ประทานให้ทางพระเยซูเจ้า แม้บางครั้งแผนการของพระเจ้าอาจขัดแย้งและมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดก็ตาม แต่กระนั้นพระศาสนจักรภายใต้การนำของพระจิตเจ้า สำนึกตนเสมอถึงภารกิจในการรักษาและอธิบายการเผยแสดงที่ได้รับจากพระเยซูเจ้าผ่านทางอัครสาวก พระศาสนจักรพยายามทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์และรับผิดชอบ พระศาสนจักรยอมรับว่า แม้พระเยซูเจ้าทรงตั้งพระศาสนจักรและประทับอยู่ในพระศาสนจักร แต่พระศาสนจักรก็ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นมนุษย์ที่ยังไม่สมบูรณ์ อาจมีหลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่ทำให้คนรุ่นปัจจุบันรู้สึกหดหู่และตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต อย่างไรก็ตาม คริสตชนเชื่อว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ มีพระเจ้าอยู่เบื้องหลัง พระองค์ทรงมีแผนการที่โปรดให้พระศาสนจักรค่อย ๆ เติบโตและเข้าใจแผนการแห่งความรอดทางพระเยซูเจ้ามากยิ่งขึ้น ส่งผลให้สมาชิกของพระศาสนจักรตื่นตัวที่จะปรับปรุงตนให้เข้ากับแผนการของพระเจ้าอยู่เสมออาศัยเครื่องหมายของกาลเวลา และสำนึกว่าแม้พระเยซูเจ้าทรงตั้งพระศาสนจักร และมอบภารกิจให้พระศาสนจักรเป็นเครื่องมือในแผนการแห่งความรอด แต่พระศาสนจักรไม่ใช่อาณาจักรพระเจ้า แต่พระศาสนจักรเป็นเครื่องมือสู่อาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งจำเป็นต้องสำนึกตน เรียนรู้และปรับปรุงตนเองเสมอเพื่อการทำหน้าในภารกิจแห่งการเป็นเครื่องมือสู่อาณาจักรของพระเจ้า
ผ่านมาหลายศตวรรษ ข่าวดีแห่งความรอดที่พระเจ้าเผยแสดงแผนการแห่งความรอดทางพระเยซูเจ้าได้ถูกเผยแผ่ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ จนสู่การเจริญเติบโตและพัฒนาสู่การเป็น “ศาสนาคริสต์” ในยุคปัจจุบัน ชีวิตของบรรดาคริสตชน จำนวนสถาบัน วัด โรงเรียน สำนักงานและศูนย์ให้ความสงเคราะห์ช่วยเหลือมากมายสำหรับเด็ก ผู้หญิง คนด้อยโอกาส คนยากจน คนพลัดถิ่น ฯลฯ ล้วนเป็นประจักษ์พยานถึงผลงานแห่งความรักของพระเจ้าที่มอบแก่มนุษย์ ผ่านทางพระศาสนจักรในฐานะเครื่องมือที่พระองค์ทรงสถาปนาขึ้น แบบอย่างชีวิตของพระเยซูเจ้า บรรดาอัครสาวกและผู้สืบตำแหน่ง รวมถึงคริสตชนในอดีตแสดงถึงการประกาศข่าวดีของพระเจ้าที่ต้องประสบปัญหาและอุปสรรคนานาประการ รวมทั้งการหลั่งเลือด อาบเหงื่อ อาบน้ำตาและแม้ต้องยอมสละชีวิต เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบให้ เป็นเครื่องเตือนสติ เตือนจิตใจของบรรดาคริสตชนทุกคนให้สำนึกถึงแบบอย่างและพยายามทุ่มเทต่อการเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจตามแผนการแห่งความรอดที่พระเจ้ามอบให้ทางพระเยซูเจ้า... และที่สุด คริสตชนปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจในการประกาศข่าวดีแห่งความรอดแก่มนุษยชาติ ทั่วโลกด้วยความซื่อสัตย์และรับผิดชอบ...